06.30 น. พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์ W สายการบินแอร์อินเดีย (Air India) เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน
09.30 น. เดินทางออกจากกรุงเทพ สู่เมืองมุมไบ โดยเที่ยวบินที่ AI331 (สายการบินมีบริการอาหารบนเครื่อง / อนุญาตให้โหลดสัมภาระได้ท่านละ 30 กก. / สะสมไมล์ ROP ได้ตามเงื่อนไขฯ)
12.10 น. เดินทางถึงสนามบินฉัตราปตีศิวะจิ (Chhatrapati Shivaji Airport) เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรแล้ว รถโค้ชปรับอากาศรอรับท่านที่สนามบิน นำท่านเช็คอินและได้พักผ่อนเติมพลังก่อนเดินทางแสวงบุญในวันรุ่งขึ้น
(เวลาท้องถิ่นของเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ช้ากว่าประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองปูเน่ (Pune) ระยะทางประมาณ 150 กม. (ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศอินเดีย ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงเดคคานริมฝั่งแม่น้ำมุธะ (Mutha River) ในอดีตเมืองปูเน่ยังเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรมาราธา (Maratha Empire) ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองแคว้น พระเจ้าชาตปตี ชาห์วาจิ (Chatrapati Shavaji) ในปีคริสต์ศักราช 847 ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองปูเน่มาถึงจุดรุ่งเรืองที่สุดเมื่อได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงด้านการปกครองอินเดียอนุทวีปโดยมีการแต่งตั้งตำแหน่งที่เทียบเท่ากับประธานาธิบดีแห่งอาณาจักรมาราธา เมืองปูเน่ในยุคปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงทางด้านวัฒนธรรมของรัฐมหาราษฏระ โดยเมืองปูเน่นั้นมีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ สถาบันการวิจัยและค้นคว้าของภาครัฐและเอกชน เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือแม้กระทั่งด้านการศึกษา การจัดการและการอบรม
นำท่านแวะสักการะองค์เบิลลา คณปติ (Birla Ganpati) องค์พระพิฆเนศขนาดใหญ่น้ำหนักถึง 1,000 ตัน ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาในเมืองพิมพริ-ชินชวาด (Pimpri-Chinchwad) เขตปริมณฑลของเมืองปูเน่ ถือเป็นองค์พระพิฆเนศที่สูงที่สุดในเมืองปูเน่ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 2009 ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 2 ปี โดยผู้สร้างใช้หลักของการสร้างองค์พระพิฆเนศนี้เป็นพระพิฆเนศผู้ประทานความรุ่งเรื่อง และเจริญกว้าหน้า ด้วยหลักการสร้างโดยใช้ เลข 9 เป็นองค์ประกอบดังนี้ ซึ่งเลข 9 ถือเป็นเลขมงคลของชาวฮินดูเช่นกัน
ความสูงขององค์ 72 ฟุต / 7+2 = 9
ความกว้างของฐานองค์ 54 ฟุต / 5+4 = 9
ความสูงของฐานพระองค์ 18 ฟุต / 1+8 = 9
รวมเป็น 9+9+9 = 27 / 2+7 = 9
ขอพรเพื่อความก้าวหน้าของชีวิตในทุกๆด้าน
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก (International Buffet)
ที่พัก Four Points by Sheraton Pune
07.00 น. รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
08.00 น. ***หมายเหตุ*** นำท่านเดินทางสู่ย่านเมืองเก่าของเมืองปูเน่ โดยแบ่งการเดินทางเป็น 2 รถบัสเล็ก เนื่องจากกฎหมายจราจรของเมืองปูเน่ ไม่อนุญาตให้รถบัสที่มีขนาดใหญ่กว่า 18 ที่นั่งเข้าไปในเขตเมืองเก่า
รถบัสของคณะจอดส่งท่าน ณ จุดจอดรถ จากนั้นจะเริ่มต้นการเดินทัวร์ (Walking Tour)
นำท่านสักการะ องค์พระพิฆเนศที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยมากที่สุดในโลก องค์ดั๊กดูเศรษฐ์ (Dagdusheth) และมีความงดงามมากที่สุดองค์หนึง เป็นพระนามของพระพิฆเนศที่ประดิษฐาน ณ เทวสถานดั๊กดูเศรษฐ์ ในเมืองปูเน่ประเทศอินเดีย ที่มีคนเข้ากราบสักการะมากมาย เชื่อว่าผู้ที่ได้มากราบไหว้พระพิฆเนศที่นี่ จะทำให้ความปรารถนาของตนสมหวังประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง มีโชคมีลาภ เจริญก้าวหน้า
งวงพระองค์เป็นเกรียวดูดทรัพย์ ซึ่งผู้คนมากมายที่สมหวังดั่งปรารถนาก็นำเงินทองมาถวายให้เทวสถานแห่งนี้มากมาย ที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดเพราะฐานที่ประดิษฐานองค์พระพิฆเนศ และเครื่องทรงต่างๆ ล้วนเป็นทองคำและเพชรพลอยที่ประมาณมูลค่าไม่ได้
ขอพรเพื่อความมั่งคั่ง ร่ำรวย
พิเศษนำท่านทำพิธีอารตีไฟ เวลา 9.00 น.
พิเศษ นำท่านสักการะองค์ตุลซีบัก (Tulsi Baug Ganpati) พระพิฆเนศผู้ประทานพรเรื่องการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง องค์ตุลซีบักเป็นพระนามขององค์พระพิฆเนศที่ตั้งชื่อตามย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองปูเน่ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 องค์พระพิฆเนศมีความสูงถึง 14 ฟุต หรือประมาณ 4.26 เมตร ประดับพระองค์ด้วยเครื่องประดับที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระมาลา (หมวก) และพระกรรณ (หู) และอีกสิ่งพิเศษที่ทำให้องค์ตุลซีบักงดงามสะดุดตาคือพระหัตถ์ขวาที่ประทานพรกับพระบาททั้ง 2 ข้าง ทำจากเงินบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน
องค์ตุลซีบัคถือเป็นองค์พระพิฆเนศอีกหนึ่งองค์ที่ชาวเมืองปูเน่เคารพและบูชาโดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าในย่านนี้ซึ่งเชื่อกันว่าองค์ตุลซีบัคทรงประทานพรให้ธุรกิจการค้าของพวกเขาเจริญรุ่งเรือง
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารเอเชีย (Southeast Food)
14.00 น. รถบัสของคณะจอดส่งท่าน ณ จุดจอดรถ จากนั้นจะเริ่มต้นการเดินทัวร์ (Walking Tour)
พิเศษ นำท่านสักการะ องค์ศรีชลาดา คณปติ (Shree Sharada Ganpati/Akhil Mandai Mandal) เทวรูปของพระองค์ประทับอยู่ที่เมืองปูเน่ ประวัติเทวรูปของพระองค์นี้มีอยู่ว่า มีนักมวยคนหนึ่งเป็นผู้ศรัทธาในองค์พระพิฆเนศเป็นอย่างมาก และยังเป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าผู้คนทั้งหลายในเมืองปูเน่อีกด้วย นักมวยผู้นี้อยากมีบุตรมาก แต่ไม่สามารถมีบุตรได้ตามหวัง ต่อมามีคนแนะนำให้เขาไปขอพรต่อพระแม่ชลาดา ในวัดซึ่งอยู่นอกเมืองปูเน่ เพื่อขอบุตร จากนั้นนักมวยผู้นี้ก็ได้ทำตามคำแนะนำ และเดินทางไปขอพรต่อองค์พระแม่ จนเป็นผลสำเร็จ นักมวยท่านนี้จึงอยากอัญเชิญพระแม่ชลาดาเข้ามาในเมืองปูเน่ให้เหล่าผู้คนได้มาสักการะพระองค์ท่านด้วย จึงได้สร้างเทวรูปองค์พระพิฆเนศประทับคู่กับพระแม่ชลาดาขึ้น พระแม่ชลาดาเป็นอีกพระนามของพระแม่สิทธิ หนึ่งในพระชายาขององค์พระพิฆเนศนั้นเอง ผู้คนที่มาขอพร ณ เทวสถานแห่งนี้ จึงขอพรเพื่อให้พระองค์ประทานพรให้ซึ่งความสุขสมหวัง ตามที่ปรารถนานั้นเอง
ขอพรเกี่ยวกับคู่ครองคนรัก ความรักในครอบครัว ความสงบสุขในชีวิต
หลังจากนั้นนำท่านเดินไปยังจุดจอดรถ เพื่อขึ้นรถบัสของคณะ
16.00 น. นำท่านเดินทางสู่วัดศรีโอมคาเรสวาร์ (Shree Omkareshwar Temple) วัดแห่งองค์พ่อพระศิวะ โดยชื่อของวัดนี้มีที่มาจากคำว่า Omkara อีกหนึ่งพระนามของพระศิวะ แปลว่า เทพเจ้าแห่งเสียงโอม เสียงที่ชาวฮินดู หรือสาวกผู้ศรัทธากล่าวนำก่อนจะสวดบทสรรเสริญองค์เทพทุกพระองค์
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปีศตวรรษที่ 17 หรือประมาณ 300 ปีก่อน โดยทรัพย์สินส่วนตัวของนายพลชิมาจี อัปปา (Chimaji Appa) นายพลผู้ใหญ่ยิ่งของอาณาจักรมาราธา เพื่อถวายแด่องค์พระศิวะ
ตัววัดตั้งอยู่ริมโค้งแม่น้ำมุธา แม่น้ำสายหลักของเมืองปูเน่ ซึ่งในปีค.ศ 1961 เมืองปูเน่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่จากเหตุการณ์เขื่อนแตก
ทำให้มวลน้ำมหาศาลทะลักเข้าสู่เมืองปูเน่ บ้านเมืองเสียหาย ผู้คนล้มตายศูนย์หายมากกว่า 1,000 คน แต่ ณ วัดแห่งนี้ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น นั้นคือมวลน้ำจากแม่น้ำมุธาไม่สามารถเข้ามาในตัววัดได้ และวัดไม่เกิดการเสียหายแต่อย่างใด หลังจากเหตุกาณ์นั้นทำให้วัดนี้เป็นที่กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก วัดแห่งนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัดในเมืองปูเน่ ที่มีผู้ศรัทธาจากทุกสารทิศเข้ามาสักการะขอพรกับองค์พระศิวะ โดยเฉพาะวันจันทร์ซึ่งถือเป็นวันของพระศิวะ
วัดปิดทุกวันในช่วงเวลา 13.00-16.00 น.
ขอพรเพื่อขจัดปัดเป่า และชำระล้างสิ่งไม่ดีต่างๆออกจากชีวิต
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก (International Buffet)
ที่พัก Four Points by Sheraton Pune
ที่พัก Four Points by Sheraton Pune
08.00 น. รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
09.00 น. แวะสักการะองค์ซาราสบัคลักษมี พระแม่ลักษมีแห่งเมืองปูเน่ (Sarasbaug Lakshmi) วัดพระแม่ลักษมีที่ใหญ่ที่สุด และโด่งดังที่สุดในเมืองปูเน่ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1984 ตามแบบสถาปัตยกรรมอินเดียเหนือ ใช้เวลาสร้างกว่า 12 ปี ภายในวัดประดิษฐานองค์พระแม่ลักษมีที่ทำจากหินอ่อนสีขาวขนาดสูง 6 ฟุต สร้างโดยช่างแกะสลักที่มีชื่อเสียงชาวจัยปูร์
ขอพรเพื่อโชคลาภ เงินทอง และความรัก
นำท่านเดินทางกลับสู่เมืองมุมไบ (Mumbai) ระยะทาง 170 กม. (ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3ชั่วโมง)
เที่ยง อิสระรับประทานอาหารกลางวัน ใน บริเวณจุดพักรถของทางด่วนปูเน่-มุมไบ
บ่าย ถึงตัวเมืองมุมไบประมาณเวลา 15.00-16.00 น.
นำท่านเข้าเช็คอิน ณ โรงแรมที่พัก จากนั้นเป็นเวลาอิสระให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ท่านสามารถเลือกไปท่องเที่ยวในสถานที่ใกล้เคียงกับโรงแรมที่พัก เช่น ห้าง Phoenix Marketcity,ชายหาดจูฮู (Juhu), สวนสาธารณะโพไว (Powai Lake Garden) เป็นต้น
19.00 น. รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
ที่พัก Radisson Blu Hotel Mumbai Airport
เช้า รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
09.00 น. นำท่านเข้าสักการระองค์สิทธิวินายัก ณ วัดสิทธิวินายัก (Siddhivinayak Temple) ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมุมไบ ที่มีเหล่าเซเลบและดาราบอลลีวูดมาสักการะกันอยู่ตลอด ลักษณะเด่นขององค์นี้ คือ เป็นองค์ปฐมและเป็นองค์ประธานแห่งพระพิฆเนศทุกๆพระองค์ในโลกลักษณมีพระฉวี (ผิว) สีแดงสด ซึ่งเป็นสีของไฟและพลังอำนาจ อีกทั้งยังมีงวงที่ตวัดไปทางเบื้องขวาของพระองค์ อันหมายถึงความยิ่งใหญ่ถึงที่สุด
ขอพรเพื่อความสำเร็จสมหวังทุกประการ และการเริ่มต้น
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารนานาชาติ (International Buffet)
บ่าย นําท่านสักการะวัดพระแม่ลักษมีหน้าทอง (Shree Mahalakshmi Temple) เป็นนวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1831
โดยพ่อค้าชาวฮินดู ตั้งอยู่ในย่านที่ที่ดินมีราคาสูงที่สุดในมุมไบ ภายในประดิษฐานเทวรูปทองคําของ พระแม่ลักษมี (Mahalakshmi) ผู้ที่มากราบไหว้ บูชาแห่งนี้จะประสบแต่ความร่ำรวย ความสําเร็จ โชคลาภมากมาย , พระแม่กาลี (Mahakali) คือ ผู้ปกป้องเราจากสิ่งไม่ดี , พระแม่สุรัสวตี (Mahasaraswathi) คือผู้บันดาลความเฉลี่ยวฉลาด ปัญญาเป็นเลิศ การงานสําเร็จ ซึ้งวัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวอินเดียและชาวไทยเดินทางมากราบไว้สักการะมากมาย และบริเวณหน้าวัดยังมีร้านค้าให้บูชาเครื่องราง และรูปบูชาองค์เทพต่างๆ สีสันสวยงามแปลกตา
ขอพรเพื่อโชคลาภ เงินทอง และความรัก
จากนั้นนำท่านถ่ายภาพกับ
ประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) เป็นอนุสาวรีย์ซุ้มประตูโค้งแบบประตูชัย ที่ตั้งอยู่ในนครมุมไบ ประตูสู่อินเดียสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จฯ เยือนนครมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ พระนางมาเรียแห่งเท็ค เมื่อปีค.ศ. 1911 ณ บริเวณอะพอลโลบันเดอร์
สถาปัตยกรรมที่ใช้คือแบบอินเดีย-ซาราเซน (Indo-Saracenic) และอนุสาวรีย์สร้างด้วยหิน บะซอลต์ ความสูง 26 เมตร (85 ฟุต) สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1924 ปัจจุบันใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับ
พิธีต้อนรับรัฐมนตรีใหม่ของนครมุมไบ และเช่นกันยังเป็นทางเข้าประเทศอินเดียหากเดินทางมา
ทางมหาสมุทรอินเดีย ประตูสู่อินเดียตั้งอยู่หน้าน้าที่อะพอลโลบันเดอร์ ในทางทิศใต้ของนคร มุมไบ มองออกไปคือทะเลอาหรับบางครั้งเรียกว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งมุมไบ ปัจจุบันเป็นสถานที่
ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง จากนั้นนำท่านเลือกซือสินค้าของฝาก ณ แหล่งช้อปปิ้งสำคัญของเมืองมุมไบ
ย่านโคลาบา (Colaba Causeway) เพียบพร้อมไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด เช่น เครื่องประดับ เพชรพลอย เสื้อผ้า และเครื่องหนัง โดยแต่ละส่วนจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงร้านอาหาร คาเฟ่ที่ขึ้นชื่อของเมืองมุมไบ ที่รวมกันไว้ ณ ย่านนี้
อิสระรับประทานอาหารค่ำ เพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของท่าน
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบินฉัตราปตี ศิวาจี (Chhatrapati Shivaji Airport) เมืองมุมไบ
02.45 น. ออกเดินทางกลับสู่ประเทศไทยโดยสายการบินแอร์อินเดีย (AIR INDIA) เที่ยวบินที่ AI330 (สายการบินมีบริการอาหารบนเครื่อง / อนุญาตให้โหลดสัมภาระได้ท่านละ 30 กก. / สะสมไมล์ ROP ได้ตามเงื่อนไขฯ)
08.30 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดนสวัสดิภาพพร้อมความปัง
!! อยากปัง...ต้องไป !!